• รัตนพรรณ ดูฤกษ์มงคล ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ รับจัดงานบุญ รับทำบายศรี รับตั้งศาล ประกอบพิธีบวงสรวง
  • Follow us

คำถามที่พบบ่อย

คำถามที่พบบ่อยคัดมาจากคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยานในหนังสือคำสอนต่างๆ

ฤกษ์พรหมประสิทธิ์นี่ท่านบอกว่า ถ้าหาฤกษ์อื่นแล้วว่าไม่ดี ถ้าหาฤกษ์นี้ได้ ให้ทำเลย อันนี้เขาดีจริงๆ ฉันเลยใช้เรื่อยมา ที่จะสนใจเรื่องนี้มีอยู่ว่าไปที่อ่างทอง สมัยก่อนโน้นนะ แล้วก็ข้างวัดหลวงพ่อจาย เขามีโรงสี โรงสีย่อส่วนนะ เขามีอยู่แล้ว ๒ โรง ไปหาท่าน คุยกันวันหนึ่ง ฉันก็ถามหลวงพ่อว่า ให้ฤกษ์อะไรครับ โรงสีที่ปลูกมันรวยเร็ว กูไม่รู้เว้ย ให้ฤกษ์ให้แฤก มันก็มาเคี่ยวเข็ญกูจะเอาฤกษ์ กูก็ให้ไม่เป็น หนักๆ เข้ามาเคี่ยวเข็ญหนักๆ เข้าก็ไปเปิดสมุดข่อย ก็พอดีไปเจอะฤกษ์ แต่ก็ไม่ครบถ้วนสมุดข่อยก็ขาดบ้างอะไรบ้าง ฤกษ์มันมี ๗ วันของท่านก็มี ๕ วัน สมุดมันขาด ถามว่าเลขอะไร ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน กูหาได้ก็ให้ไป ใช่ไหม ฉันเลยจดมา จดมาก็มาที่หอสมุดฯ เอาฤกษ์นั้นเป็นพื้นฐาน ที่จดไว้เป็นพื้นฐาน ก็มาค้นดู ค้นดูครบแล้วตามตำราท่านบอกว่าฤกษ์นี้เขาเรียกพรหมประสิทธิ์ ถ้าหาฤกษ์นี้ได้ ถ้าฤกษ์อื่นว่าเสีย ให้ทำเลย คือไม่ต้องยั้งตัว หาตำราอื่นว่าไม่ดีๆ วันนั้นนะ ในวันนั้นฤกษ์นี้ว่าดีให้ทำเลย : จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๒๓ หน้าที่ ๓ - ๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

"หลวงพ่อคะ จะนิมนต์พระมาเชิญพระภูมิได้ไหมเจ้าคะ...?" (หลวงพ่อตอบ) จะเป็นไรไป ไม่เป็นไร พรเชิญได้ อย่านึกว่าพระเหนือเทวดาเสมอไปนะ ไม่แน่ พระที่เหนือเทวดาท่านก็เชิญได้ อย่าง หลวงพ่อจง มีคราวหนึ่ง มีวัดห่อหมกเขาจะยกศาล เขาก็ไปหาหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงท่านเป็นพระทรงฌาน ทรงกสิณ องค์นี้เป็นพระอริยเจ้า พระอริยะเลยนะ แล้วท่านก็ไม่หนี้โลก หมายความว่าทำให้โลกเขาเห็น ท่านก็เอาตำราเชิญพระภูมิมาอ่าน พอดีฉันไปพอดี ถามว่าหลวงพ่อครับ ทำอะไร เอ้อ...ทายกวัดนี่กำลังนั่งอยู่นะ เขามานิมนต์ให้ไปยกศาลพระภูมิ ถามหลวงพ่อทำไมรึ อ่านหนังสืออะไร อ่านตำราเชิญพระภูมิ แหม...มันเยอะจริง อ่านยากจัง ตาไม่ใคร่ดีใช่ไหม ก็เลยบอกว่า หลวงพ่อครับ เอาตรงไปตรงมาดีกว่า

ท่านถามจะเอายังไง เพราะว่าท่านเป็นพระผู้ใหญ่ ท่านทำตรงไม่ได้ ท่านต้องทำตามเขา บอก เอายังงี้ก็แล้วกัน ตำราเชิญพระภูมินะ หลวงพ่อให้ลูกศิษย์ไปคน ซึ่งเป็นฆราวาสเป็นผู้ใหญ่ นุ่งขาวห่มขาว แล้วเป็นคนอ่าน แต่หลวงพ่อนั่งเข้าสมาธิเชิญเทวดา เออ...ยังงี้ดีวะ หมดเรื่องหมดราวไปเลย ไอ้คนไปนิมนต์ก็โง่ ความจริงไม่ต้องไปอ่านตำรงตำราเชิญพระภูมิ พระขนาดนั้นเขาคุยกับเทวดาได้ใช่ไหม เล่นกับไอ้คนโง่ก็ลำบากเหมือนกัน คราวนี้ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ ถ้าจะไม่อ่านโองการตามที่เขาเขียนไว้ จะหาว่าไม่เชิญเสียอีก

"มีคนเขาพูดว่า พระไม่ควรตั้งศาลพระภูมิ เป็นหน้าที่ของฆราวาสเขา จะผิดจะถูกอย่างไรคะ...? (หลวงพ่อตอบ)...เขาพูดถูก พระไปตั้งศาลพระภูมิไม่ได้ แต่เชิญได้ ตั้งก็ต้องไปปลูกศาลใช่ไหม พระทำไม่เป็น ไอ้นั่นจะเอาค่าจ้าง ตั้งศาลพระภูมิราคาแพงนะ เป็นหมื่นก็มีนะ อย่างต่ำๆก็เป็นพัน พระไปไม่จำเป็น ถวายท่านเท่าไรท่านก็ไม่ว่า ไม่ถวาย ท่านก็เดินกลับวัดใช่ไหม...จากหนังสือธรรมปฏิบัติ ๓๓ หน้าที่ ๗-๘ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ เทวดาที่สิงสถิตย์อยู่ที่ศาลพระภูมิ เป็นเทวดาชั้นไหนครับ ?....หลวงพ่อตอบ : ไม่มี..ที่ศาลนี่ไม่มีจริงๆนะ ศาลเป็นที่สักการะเฉยๆ ใช่ไหม..แต่วิมานเขามีอยู่ และการยกศาลเป็นการแสดงยอมรับนับถือ จะให้เข้าไปนั่งศาลพระภูมิต้องทำตัวเล็กซินะ (หัวเราะ) อันนี้เป็นการแสดงการยอมรับนับถือ ยอมรับรับถือซึ่งกันและกันจึงตั้งศาลขึ้น...จากหนังสือตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้าที่ ๑ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ผู้ถาม : เรื่องตั้งศาลพระภูมิ ขอให้หลวงพ่อแนะนำหน่อยเจ้าค่ะ....หลวงพ่อตอบ : เวลาจะตั้งศาลพระภูมินะ อันดับแรกขุดหลุมก่อน แล้วเอาเสาแหย่ลงไป....ผู้ถาม : หัวเราะ....หลวงพ่อตอบ : พิธีกรรมฉันไม่มีกับเขาหรอก เพราะเรื่องนี้ฉันไม่ได้ศุึกษากับใครเขา ถ้าเมื่อก่อนฉันตั้งให้ ฉันใช้เชิญท้าวมหาราช เพราะท้าวมหาราชท่านเป็นนายพระภูมิ เมื่อเชิญมาแล้ว ท่านก็สั่งให้ลูกศิษย์ท่านรักษา ดีกว่าเราขอร้อง ฉันทำแบบนี้...จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้าที่ ๑ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ผู้ถาม : เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ได้เห็นพิธีบวงสรวงของหลวงพ่อ อยากกราบเรียนถามว่าทำไมจึงต้องมีพิธีบวงสรวงครับ...? หลวงพ่อตอบ : เราเรียก "พิธีบวงสรวง" ตามศัพท์ไสยศาสตร์นะ แต่ความจริงมันไม่น่าจะเรียกบวงสรวง จะเรียกชื่ออื่นคนก็ไม่รู้จัก....ผู้ถาม : ควรเรียกอะไรดีล่ะครับ..? หลวงพ่อตอบ : อันนั้นล่ะคือ "การเชิญเทวดา" บวงสรวงคือเชิญท้าวจาตุมหาราชพร้อมทั้งอินทกะและบริวาร แต่พิธีนี้ไม่ใช่พิธีที่เราจะสร้างขึ้นมาเองได้ คือว่าสมัยหลวงพ่อปานท่านเริ่มทำการก่อสร้าง ท้าวเวสสุุวัณกับอีก ๓ องค์มาหาท่านในขณะที่เจริญพระกรรมฐาน บอกว่าท่านทำงานนี้เป็นบุญเป็นกุศล ผมขอโมทนาด้วยถ้ามีงานสำคัญเกิดขึ้นขอให้บวงสรวงด้วยวิธีนี้ ท่านบอกแม้แต่สวด คำสวดบทมหาสมัยในตอนท้าย "อภิกามุง ภิกขูนัง" ท่านตัดออกเอา "อัฏฐังสุ" แทน แล้วก็ของทุกอย่างท่านสั่งทั้งหมด และของที่มีอยู่ให้ทำตามนั้นแล้วก็จะมาช่วยงานเป็นอันว่าเชิญเทวดาท่านมารับทราบ แล้วก็จะขอร้องให้ท่านช่วยมันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก พิธีนั้นถ้าทำขึ้นมาถ้ามีอะไรควรรู้ท่านจะบอกที่สวดไปแล้วก็นิ่งประเดี๋ยวหนึ่งน่ะคุยกัน.........ผู้ถาม : เป็นอันว่าบวงสรวงนี้ควรจะเรียกว่า "เชิญเทวดา" นะครับ....หลวงพ่อตอบ : ใช่..คือท่านมาบอกพิธีกรรมเอง และก็บอกคาถาบทสวดเอง แล้วบอกว่าถ้าทำตามนี้ผมจะมาและท่านก็มาจริงๆ ต่อมาฉันก็เรียนต่อจากหลวงพ่อปาน ก่อนจะเรียนต่อ หลวงพ่อปานท่านก็ถามท้าวเวสสุวัณก่อนว่า รับหรือไม่รับ ถ้ายอมรับก็ทำพิธีนี้ได้ ถ้าไม่ยอมรับเราก็ทำพิธีนี้ก็ไม่มีผล ท่านไม่ช่วย ท่านก็บอกยอมรับ รับก็ทำต่อมาได้.....จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๒๗ - ๒๘ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ในกรณีที่ชาวบ้านเขาทำบุญกัน แล้วมีการบวงสรวงอัญเชิญเทวดา อย่างนี้เทวดาท่านจะมาจริงหรือเปล่าครับ..? หลวงพ่อตอบ : อันนี้ฉันไม่รู้ เขาเชิญให้มาหรือเชิญไม่ให้มากันแน่ เราต้องดูส่วนประกอบหลายอย่าง จิตเขาสะอาดแค่ไหน..ถ้าสะอาดไม่พอจะว่าก็ว่าไปซิ ท่านได้ยินแต่ว่าท่านไม่มาซะอย่างก็หมดเรื่อง อย่างทำบุญบ้าน ที่เขาทำพิธีอัญเชิญแล้วว่า "สัคเค กาเม จะรูเป.." บางทีคนเชิญยังเมาแอ่น กลิ่นเหล้าฟุ้ง อย่างนี้เทวดาที่ไหนเขาจะมาล่ะ มีแต่เปรตกับอสุรกายมากันเป็นตับ มากันจริงถ้าเมาแล้วไปว่าสัคเคเข้า..แบบนี้พัง....จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้าที่ ๒๑ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือลูกตั้งใจจะตั้งศาลพระภูมิที่บ้าน พอตั้งใจปุ๊บ ปรากฏว่าตอนกลางคืนมีเทวดามาบอกว่า ข้าคือเจ้าพ่อพระภูมิ ถ้าเอ็งไม่เชื่อข้าให้ไปถามหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง ที่จะเรียนถามก็คือว่าพระภูมิท่านสั่งว่า "ศาลของฉันให้เอาเสา ๔ ต้น" แต่เห็นที่อื่นเขามีต้นเดียว จะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ?....หลวงพ่อตอบ : นั่นไม่ใช่ภูมิเทวดาแล้ว เป็นอากาศเทวดา ดินแดนตรงไหนถ้าท่านพวกนี้อยู่นะ ถ้าเราไม่รับรองท่าน ๒ ปีแรกท่านให้คุณ ถ้าปีที่ ๓ ไม่รับรองเริ่มเจี๊ยะแล้ว แต่ถ้ารับรองแล้วจะดีมาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเอาตามแบบฉันมี ๖ เสาเพราะบางแห่งเขากลัวจะล้มลงมา เขาใส่ ๖ เสา แต่แบบ ๔ เสานี่เป็นอากาศเทวดา นี่สำคัญมากนะ เคยเจอะหลายรายการแล้ว บางทีไปถึงนั่งๆคุยๆ แกก็ย่องมา เขาบอกว่า แกทำมาหากินดีมาก แล้วเทวดาท่านก็มาบอกผมอยู่ที่นี่ครับ เขตนี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ทีนี้เจ้าของบ้านกับเราไม่ได้ชอบพอกันมาไปแนะนำให้เขาตั้งศาลเขาจะหาว่าบ้าๆบวมๆ น่ะซิ พูดไปพูดมาก็ถามว่า โยมตั้งศาลรับเขาบ้างหรือเปล่า..เขาบอกจ้าวเจ้อวไม่สำคัญพอปีที่ ๓ ชักเริ่มแล้ว ขายของขาดทุน ไปๆ มาๆ ของเก่าขาดด้วยตรงกันข้ามบ้านอีกหลังหนึ่งมีสภาพเช่นเดียวกัน เขาก็ถาม จึงบอกว่า "ไอ้หนู..อากาศเทวดาที่คุมพระภูมิท่านอยู่ตั้งศาลรับท่านเสีย" บ้านนั้นรับเดี๋ยวนี้รวยใหญ่ ผู้ถาม : ฉะนั้นรายนี้เขาบอก ๔ เสาก็ต้อง ๔ เสาตามเขานะครับ...หลวงพ่อตอบ : ต้องตามเขา ไม่แน่นะรายการนี้ดุมาก ถ้าเฮี้ยวขึ้นมาละน่าดู ใครยั้งไม่อยู่หรอก นั่นท่านตั้งใจช่วยอยู่แล้วนะ ถ้าเขาไม่ตั้งใจช่วยเขาไม่บอกหรอก เธอรับฉันฉันก็ช่วยเธอ เธอไม่รับฉันฉันก็ไม่ช่วย แต่สงสัยว่าเทวดาองค์นี้กับคนที่พบ ในอดีตคงจะเป็นพวกกัน ไม่ยังงั้นไม่บอก...จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพอเศษ เล่ม ๕ หน้าที่ ๙-๑๐ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อ กระผมมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องบวงสรวง อยากจะทำพิธีบวงสรวงบ้าง กระผมมีอาชีพเกษตร พืชผลเสียหายเรื่อยๆ อยากรวยๆ เหมือนที่หลวงพ่ออวยพร จะได้นำเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อ จะทำการบวงสรวงอย่างไรดีขอรับ?....หลวงพ่อตอบ : เอ..ท่านท้าวมหาราชท่านบอกว่าท่านทำนาไม่เป็นนะ แบบนี้ไม่ได้ เรื่องเทวดานะ ท่านจะหักคอฉันเข้า มันสุดแล้วแต่คุณจะตกลงกับท่านซิ เรื่องบวงสรวงที่ทำไม่ใช่ตำราสร้างขึ้นมานะ มันเป็นเรื่องของหลวงพ่อปานท่านบวชได้ ๘ พรรษา เริ่มก่อสร้าง หลวงพ่อปานเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระเจริญกรรมฐานเก่ง และก็ทำจริง เป็นนักเสียสละ เมื่อเริ่มทำการก่อสร้างก็ขัดข้องเรื่องการเงิน ท่านท้าวมหาราช ๔ องค์ มีท้าวเวสสุวัณเป็นหัวหน้า ท่านบอกว่าท่านจะทำอะไรบอกผมก่อน ใช้วิธีบวงสรวงแบบนี้นะครับ คาถาบวงสรวงท่านก็ให้เสร็จ ทีนี้เคยมีคนไปขอฉันแล้ว เคยถูกขว้างบ้านพัง นอนไม่ได้ เขาไม่ได้ขอ เขาจดๆไป ก็ลองทำบ้าง กลางคืนไม่ต้องนอนเลย เอายังงี้ก็แล้วกัน ถ้าต้องการให้ท่านช่วยก็ไปติดต่อกับท่านเองนะ....จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้าที่ ๒๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ผู้ถาม : การบูชาศาลพระภูมิกับพระพรหมนี้เหมือนกันหรือเปล่าครับ..หมายถึงการใช้ธูปเทียนครับ? ...หลวงพ่อตอบ : อันนี้ฉันไม่มีตำรากับเขานะ แต่อย่าลืมว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ท่านก็เหมือนพระนั่นแหละ "พรหม" เขาแปลว่าประเสริฐใช่ไหม..ที่เขาเรียก "พรหมจรรย์" หมายถึงประพฤติประเสริฐ ประพฤติแบบพรหม และเทวดานี่เขามี หิริ และ โอตตัปปะ ก็ควรจะจุดเท่าพระถึงจะถูก แต่อย่าจุดเท่ากุฏิพระนะ แต่ว่ามันเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง เทวดาบางกลุ่มหรือพรหมบางกลุ่ม ท่านบอกว่าถ้าต้องการจะพบท่านให้จุดธูปเท่านั้นเท่านี้เป็นสัญลักษณ์อันนี้มีอยู่ ถ้าไม่มีสัญญาตามนั้นก็จุดธูปเหมือนบูชาพระ....จากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้าที่ ๔๘ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)

....ทีนี้ก็มาคุยกันว่าเรื่องพระพุทธศาสนานี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเทวดาตลอดกาลไม่ว่าจะเปิดเข้าตรงไหน พระพุทธเจ้ามีความสัมพันธ์กับเทวดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไปดูใน ยมกปาฏิหาริย์ ก็จะเจอะเรื่องพระพุทธเจ้าไปเทศน์สอนเทวดา แล้วก็ไปดูใน วิมานวัตถุ พระพุทธเจ้าก็พูดเรื่องเทวดาไว้มากมายเหลือเกิน ไปดูในธรรมบทก็มีไว้ เทวดาเยอะ แต่ความจริงนี่เรื่องเทวดานี่มีไหมพระพุทธเจ้าทรงยืนยัน ในหนังสือว่ามี แต่พวกเราเองว่ามีไหม ไอ้เรื่องนี้ถ้าเราจะพิสูจน์กันมันไม่ยาก เรื่องการเห็นการรู้เทวดานี่ ผมว่าเวลานี้เป้นของง่ายสำหรับคนดี เด็กๆเล็กๆ ก็รู้กันได้ นี่เรื่องของคนดีนะถ้าคนไม่ดีมันก็รู้เรื่องของเทวดาไม่ได้ เพราะ เทวะ เขาแปลว่า ผู้ประเสริฐ คนที่จะเป็นเทวดาได้ต้องมีความดีขั้นประเสริฐ ๒ ประการ คือ หิริ และ โอตตัปปะ นี่เทวดานะไม่ใช่พรหม ถ้าพรหมก็ต้องมีหิริโอตตัปปะด้วย และก็ฌานสมาบัติด้วย ก็รวมความว่าเทวดามีจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในเรื่องของกรรมฐาน ในอนุสสติ ๑๐ มีข้อหนึ่งท่านเรียกว่า ให้เจริญ เทวตานุสติกรรมฐาน ในเรื่องเทวดาที่ว่า หิริ และโอตตัปปะ พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยัน ว่าเวลานั้นพระองค์เป็นราชกุมาร แล้วก็ไปตอบเทวธรรมกับเทวดาชั้นจาตุมหาราช ในป่าใกล้สระน้ำแห่งหนึ่งที่เทวดาถามถึงเทวธรรม ถ้าหากว่าใครไม่รู้เทวธรรมไปเอาน้ำเอาดอกไม้ในนั้นเขาจับลงโทษ น้องชายท่านถูกจับลงโทษ ต่อมาท่านแก้เทวธรรมได้คือธรรมที่ทำให้บุคคลนั้นเป็นเทวดา คือ หิริ ความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อผลของความชั่ว ชั่วทางกาย ชั่วทางวาจา และชั่วทางใจ ความชั่วทั้งหมดนี่เวลาที่เขาจะเป็นเทวดาเขาต้องระงับได้ ทรงความดีคือมีอารมณ์จิตเป็นกุศล....จากหนังสือรวมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๗ หน้าที่ ๒๖ - ๒๗ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)